@dr.pongbonetalk วันนี้หมอมีเคสของหมอจะมาเล่าให้ฟัง และมีทริกเล็กๆน้อย ท้ายคลิปให้ทุกๆคนด้วย ว่าสรุปเราแค่อ้วน?? หรือมีโรคร้ายซ่อนอยู่?? ฟังให้จบนะครับ #หมอกระดูก #หมอ #แพทย์ #หมอโป้ง #คุยเฟื่องเรื่องกระดูก #มะเร็ง #มะเร็งระยะสุดท้าย #มะเร็งตัวร้าย #ผู้ป่วยมะเร็ง #เทรนด์วันนี้ #อ้วน #มะเร็งไขมัน #ไขมัน @หมอโป้ง คุยเฟื่องเรื่องกระดูก @หมอโป้ง คุยเฟื่องเรื่องกระดูก @หมอโป้ง คุยเฟื่องเรื่องกระดูก ♬ Teteh - Doel Sumbang
มะเร็งกระดูก และภาวะ อ้วน มีอาการบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของขนาดขา ทำให้หลายคนอาจเข้าใจผิดและละเลยสัญญาณอันตราย การสังเกตความผิดปกติของร่างกายและการกระจายตัวของ ไขมัน จึงเป็นสิ่งสำคัญในการวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงที
สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
เพื่อป้องกันการไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในภาวะของการเป็นโรค มะเร็งกระดูก หากมีสัญญาณเตือนแบบนี้จะต้องรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยทันที
การเปลี่ยนแปลงของขนาดขา
หากสังเกตว่าขาของคุณมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างผิดปกติในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่ได้เกิดจากการเพิ่มน้ําหนักตัวหรือการสะสม ไขมัน จากภาวะ อ้วน ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้อาจเป็นสัญญาณของ มะเร็งกระดูก ในระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะหากมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดกระดูกโดยเฉพาะในเวลากลางคืน หรือมีก้อนที่โตขึ้นบริเวณขา
ความแตกต่างของขนาดขาทั้งสองข้าง
การสังเกตความแตกต่างของขนาดขาทั้งสองข้างเป็นอีกวิธีหนึ่งในการตรวจสอบความผิดปกติ หากพบว่าขาข้างหนึ่งมีขนาดใหญ่กว่าอีกข้างอย่างชัดเจน โดยไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บหรือการใช้งานที่ไม่เท่ากัน อาจเป็นสัญญาณของ มะเร็งกระดูก ที่กําลังเติบโตในขาข้างนั้น ความแตกต่างนี้อาจไม่ได้เกิดจากการสะสม ไขมัน หรือภาวะ อ้วน ทั่วไป ซึ่งมักส่งผลต่อขาทั้งสองข้างอย่างเท่าเทียมกัน
มีก้อนที่ขา แต่ไม่มีอาการเจ็บปวด
มะเร็งกระดูก ในระยะเริ่มต้นอาจไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดที่ชัดเจน ดังนั้น การรอให้มีอาการปวดก่อนจึงไปพบแพทย์อาจเป็นการช้าเกินไป การสังเกตการเปลี่ยนแปลงของขนาดขาหรือรูปร่างของกระดูกโดยไม่มีอาการเจ็บปวดจึงเป็นสิ่งสําคัญ หากพบความผิดปกติ เช่น มีก้อนที่โตขึ้นบริเวณขาโดยไม่มีอาการปวด ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
การแยกแยะระหว่างภาวะ อ้วน และ มะเร็งกระดูก อาจทําได้ยาก เนื่องจากทั้งสองภาวะอาจทําให้ขามีขนาดใหญ่ขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ภาวะ อ้วน มักส่งผลต่อร่างกายโดยรวมและเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่ มะเร็งกระดูก อาจทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเฉพาะที่และรวดเร็วกว่า นอกจากนี้ การสะสม ไขมัน จากภาวะอ้วน มักทําให้ผิวหนังมีลักษณะนุ่มและยืดหยุ่น ในขณะที่ มะเร็งกระดูก อาจทําให้เกิดก้อนแข็งหรือการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างกระดูก
เคสตัวอย่าง
ผู้ป่วยเพศหญิง อายุ 38 ปี ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา น้ำหนักขึ้น 7-8 กิโลกรัม ในตอนแรกคิดว่าตนแค่ อ้วน ขึ้นเท่านั้น จนกระทั่ง 5 เดือนก่อนมีคนทักว่า ขาทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากัน เริ่มจากข้างขวาที่ใหญ่กว่าข้างซ้ายเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ โตขึ้นข้างเดียวเรื่อย ๆ โดยไม่มีอาการเจ็บปวดใด ๆ แต่เพราะขาโตข้างเดียวขึ้นมากจึงมาหาหมอ ซึ่งหมอได้ทำการตรวจวินิจฉัยแล้วพบว่าเป็น มะเร็งก้อนไขมัน (Myxoid Liposarcoma) โดยมะเร็งตัวนี้มีโอกาสแพร่กระจายไปยังปอด ช่องท้อง และกระดูกสันหลังได้ถึง 30% จึงต้องรีบตรวจและทำการรักษาโดยเร็ว
ขั้นตอนการรักษา Myxoid Liposarcoma
Myxoid Liposarcoma เป็น มะเร็งกระดูก ชนิดหนึ่งที่เกิดจากเซลล์ ไขมัน ผิดปกติ การรักษาต้องอาศัยความร่วมมือจากทีมแพทย์หลายสาขา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย
การตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น
การวินิจฉัย Myxoid liposarcoma เริ่มต้นจากการตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยแพทย์จะสังเกตก้อนเนื้อผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณแขนขาหรือลำตัว ซึ่งเป็นตำแหน่งที่พบ มะเร็งกระดูก ชนิดนี้ได้บ่อย ก้อนมักมีลักษณะค่อนข้างนุ่มและโตขึ้นเรื่อยๆ แต่อาจไม่มีอาการเจ็บปวด การตรวจทางรังสีวิทยามีความสำคัญมาก โดยเฉพาะการทำ MRI คือ การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งสามารถแสดงภาพก้อนเนื้อได้ชัดเจนที่สุด และช่วยบอกขอบเขตของก้อนได้แม่นยำ นอกจากนี้ยังอาจทำการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เพื่อดูการลุกลามของก้อนเนื้อ
การยืนยันการวินิจฉัยทำได้โดยการตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) เพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งจะช่วยบอกชนิดและระดับความรุนแรงของมะเร็ง รวมถึงการตรวจทางพันธุกรรมเพื่อหาการกลายพันธุ์ของยีนที่เป็นลักษณะเฉพาะของ Myxoid liposarcoma ทั้งนี้ ควรแยกจากภาวะ อ้วน หรือ โรคอ้วน ธรรมดา เนื่องจากก้อน ไขมัน ที่เกิดจากความอ้วนจะมีลักษณะแตกต่างกัน
การผ่าตัดและการฉายแสง
การรักษาหลักของ Myxoid liposarcoma คือการผ่าตัดเอาก้อนเนื้อออก โดยมีเป้าหมายเพื่อตัดเอาเนื้อเยื่อมะเร็งออกให้หมด พร้อมกับเนื้อเยื่อปกติโดยรอบ (wide local excision) เพื่อลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำ ในกรณีที่ก้อนมีขนาดใหญ่หรืออยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัดยาก อาจพิจารณาให้การรักษาเสริมก่อนผ่าตัด เช่น การฉายรังสีหรือให้ยาเคมีบำบัด เพื่อลดขนาดของก้อนก่อน
การฉายรังสีมักใช้ร่วมกับการผ่าตัดเสมอ โดยอาจให้ก่อนหรือหลังผ่าตัดขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ การฉายรังสีก่อนผ่าตัดช่วยลดขนาดก้อนและทำให้ผ่าตัดง่ายขึ้น แต่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด ส่วนการฉายรังสีหลังผ่าตัดช่วยกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ และลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำ
การดูแลหลังการรักษา
หลังการรักษา ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ เพื่อเฝ้าระวังการกลับเป็นซ้ำของโรคและผลข้างเคียงจากการรักษา โดยทั่วไปจะนัดตรวจติดตามทุก 3-6 เดือนในช่วง 2-3 ปีแรก และทุก 6-12 เดือนในปีต่อๆ ไป การตรวจติดตามประกอบด้วยการตรวจร่างกาย การตรวจทางรังสีวิทยาบริเวณที่เคยเป็นโรค และการตรวจคัดกรองการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น โดยเฉพาะปอดซึ่งเป็นตำแหน่งที่พบการแพร่กระจายได้บ่อย
นอกจากนี้ ควรให้คำแนะนำเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เพื่อลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำของโรคและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย การดูแลด้านจิตใจก็มีความสำคัญ เนื่องจากผู้ป่วยอาจมีความวิตกกังวลหรือซึมเศร้าจากการเจ็บป่วย การให้กำลังใจและการสนับสนุนจากครอบครัวและทีมแพทย์จึงมีส่วนสำคัญในการฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย
การป้องกันและการเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำ
การกลับมาเป็นซ้ำของโรคมะเร็งเป็นความกังวลสำคัญสำหรับผู้ที่เคยผ่านการรักษามาแล้ว การเฝ้าระวังและป้องกันอย่างเหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีแรกหลังการรักษา ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่สุด การป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำประกอบด้วยหลายปัจจัย ทั้งการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ การสังเกตอาการผิดปกติ และการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น
การตรวจสุขภาพประจำปี
การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังการกลับมาของโรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เคยเป็น มะเร็งกระดูก การตรวจด้วยเทคโนโลยีทันสมัยอย่าง MRI คือ วิธีที่ช่วยให้แพทย์สามารถตรวจพบความผิดปกติได้แต่เนิ่นๆ MRI คือ การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ให้ภาพละเอียดสูง ช่วยในการวินิจฉัยโรคได้แม่นยำ โดยไม่มีผลกระทบจากรังสีเอกซเรย์ นอกจากนี้ การตรวจเลือดและการตรวจร่างกายทั่วไปก็มีความสำคัญในการติดตามสุขภาพโดยรวมและตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น
การสังเกตและรายงานความผิดปกติ
ผู้ที่เคยผ่านการรักษามะเร็งควรให้ความสำคัญกับการสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย เช่น อาการปวดที่ผิดปกติ โดยเฉพาะอาการปวดกระดูกที่เกิดขึ้นในเวลากลางคืน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของ มะเร็งกระดูก นอกจากนี้ ควรสังเกตการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวที่ผิดปกติ เช่น น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือน้ำหนักเพิ่มขึ้นจนเกิดภาวะ อ้วน ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด หากพบความผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดี
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมน้ำหนักและการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ภาวะ โรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด การควบคุม ไขมัน ในร่างกายจึงมีความสำคัญ โดยควรเลือกรับประทาน ไขมัน ที่มีประโยชน์ เช่น กรดไขมันไม่อิ่มตัวจากน้ำมันพืช และหลีกเลี่ยง ไขมัน อิ่มตัวจากเนื้อสัตว์
นอกจากนี้ การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งซ้ำ และยังช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดความเสี่ยงของ โรคอ้วน การงดสูบบุหรี่และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันมะเร็ง
การจัดการความเครียดและการพักผ่อนที่เพียงพอก็มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็ง ผู้ป่วยควรหากิจกรรมผ่อนคลายที่เหมาะสม เช่น การทำสมาธิ หรือการออกกำลังกายเบา ๆ
การแยกแยะระหว่าง มะเร็งกระดูก และภาวะ อ้วน อาจทำได้ยาก แต่การสังเกตอาการผิดปกติและการกระจายตัวของ ไขมัน อย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญ หากพบความผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง ทั้งนี้ การรักษาสุขภาพและควบคุมน้ำหนักอย่างเหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงได้
อ่านบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- โรคอ้วนกับรูปร่างของผู้หญิง เกี่ยวข้องอย่างไรกับความเสี่ยงโรคมะเร็ง โดย โรงพยาบาลพญาไท
- ผลวิจัย! อ้วนลงพุง เสี่ยง “มะเร็ง” และ “สมองเสื่อม” โดย โรงพยาบาลพญาไท
- ภาวะอ้วนแฝงอันตราย เสี่ยงภัยร้ายจากโรคมะเร็ง โดย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
- โรคอ้วน และมะเร็ง โดย ศูนย์มะเร็งตรงเป้า
- อ้วนไปเสี่ยงภัยมะเร็ง โดย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย