@dr.pongbonetalk กินแบบนี้ ระวังกระดูกพัง!! ในชีวิตประจำวันของเรามีสิ่งที่ทุกคนต้องกินอีก 1 อย่าง และมันทำให้กระดูกพังได้ มันคืออะไร?? #tiktokuni #หมอกระดูก #หมอ #แพทย์ #หมอโป้ง #คุยเฟื่องเรื่องกระดูก #กระดูก #ดูแลสุขภาพ #กระดูกพรุน #ข้อเข่าเสื่อม #กระดูกทับเส้น #healthy #health @หมอโป้ง คุยเฟื่องเรื่องกระดูก @หมอโป้ง คุยเฟื่องเรื่องกระดูก @หมอโป้ง คุยเฟื่องเรื่องกระดูก ♬ GTA - PHONKA TRUCK & broke.
การบริโภค โซเดียม มากเกินไปไม่เพียงส่งผลต่อความดันโลหิต แต่ยังกระทบต่อสุขภาพ กระดูก อย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะเผยให้เห็นถึงผลกระทบของ โซเดียม ต่อ กระดูก พร้อมแนะนำวิธีการควบคุมการบริโภคและการดูแลสุขภาพ กระดูก อย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเป็นโรค กระดูกพรุน
1. ผลกระทบของโซเดียมต่อสุขภาพกระดูก
การบริโภคโซเดียมในปริมาณมากเกินไปส่งผลเสียต่อสุขภาพ กระดูก อย่างมีนัยสำคัญ จากการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดลร่วมกับสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน พบว่าการบริโภค โซเดียม ที่มากเกินพอดีและโรคความดันโลหิตสูงสามารถส่งผลเสียต่อ กระดูก จนเกิดโรคกระดูกพรุนได้ การศึกษานี้ใช้เครื่องเอกซเรย์สามมิติที่ใช้แสงซินโครตรอนตรวจสอบ กระดูก ของหนูทดลองที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าโครงสร้างระดับจุลภาคของ กระดูก หนูทดลองมีรูพรุนเกิดขึ้นมากกว่าหนูทดลองปกติ
1.1 การขับโซเดียมและแคลเซียมออกจากร่างกาย
เมื่อร่างกายได้รับ โซเดียม มากเกินไป จะส่งผลให้เกิดการขับ แคลเซียม ออกจากร่างกายมากขึ้นด้วย กระบวนการนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก โซเดียม จะจับกับ แคลเซียม ในร่างกายและถูกขับออกทางปัสสาวะ การสูญเสีย แคลเซียม อย่างต่อเนื่องนี้ส่งผลเสียต่อความแข็งแรงของ กระดูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเสี่ยง เช่น หญิงวัยหมดประจำเดือน ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนอยู่แล้ว
1.2 การสูญเสียความหนาแน่นของกระดูก
การบริโภค โซเดียม ในปริมาณสูงไม่เพียงแต่ทำให้สูญเสีย แคลเซียม เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความหนาแน่นของ กระดูก โดยตรง การวิจัยพบว่าผู้ที่บริโภค โซเดียม มากเกินไปมีแนวโน้มที่จะมีความหนาแน่นของ กระดูก ลดลง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้ ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงยังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการสูญเสียมวล กระดูก เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างความดันโลหิตสูงและการเผาผลาญ แคลเซียม ในร่างกาย
1.3 การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก
การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density Test) เป็นวิธีการที่สำคัญในการวินิจฉัยภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis) ซึ่งเป็นภาวะที่ความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดลง ทำให้กระดูกเปราะบางและแตกหักได้ง่ายแม้เกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย การตรวจนี้สามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า DXA (Dual-energy X-ray Absorptiometry) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เนื่องจากมีความแม่นยำสูงและใช้ปริมาณรังสีต่ำ
การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกจะเน้นตรวจบริเวณที่มีแนวโน้มจะเกิดการแตกหักบ่อย เช่น กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และข้อมือ โดยผลการตรวจจะถูกแสดงในรูปของค่า T-score ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบความหนาแน่นของกระดูกผู้เข้ารับการตรวจกับค่ามาตรฐานของผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีในวัย 30 ปี ค่า T-score ที่สูงกว่า -1 ถือว่าปกติ ระหว่าง -1 ถึง -2.5 แสดงว่ามีภาวะกระดูกบาง (Osteopenia) และต่ำกว่า -2.5 แสดงว่ามีภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis)
การตรวจนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะกระดูกพรุน เช่น ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ชายที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีประวัติกระดูกหัก หรือผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน. การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกเป็นการตรวจที่สะดวกและไม่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที และสามารถทราบผลได้ทันที
1.4 การป้องกันการสูญเสียแคลเซียม
เพื่อป้องกันการสูญเสีย แคลเซียม และรักษาสุขภาพ กระดูก มีข้อแนะนำดังนี้:
- ควบคุมการบริโภค โซเดียม : ลดการรับประทานอาหารที่มี โซเดียม สูง เช่น อาหารแปรรูป อาหารหมักดอง และอาหารสำเร็จรูป
- เพิ่มการบริโภคแคลเซียม: รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วย แคลเซียม เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียวเข้ม และปลาเล็กปลาน้อย
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายแบบมีแรงกระแทก เช่น การเดิน วิ่ง หรือเต้นแอโรบิก ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของ กระดูก
- รับแสงแดด: การรับแสงแดดช่วยให้ร่างกายสร้างวิตามินดี ซึ่งจำเป็นต่อการดูดซึม แคลเซียม
หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง: ลดการดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพ กระดูก
2. ปริมาณโซเดียมที่แนะนำต่อวัน ป้องกัน กระดูกพรุน
ในปัจจุบัน การบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูงเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงผลกระทบต่อ กระดูก การรับประทานอาหารที่มี โซเดียม สูงเป็นประจำอาจส่งผลเสียต่อความแข็งแรงของ กระดูก และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนได้ ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับปริมาณ โซเดียม ที่เหมาะสมและวิธีการควบคุมการบริโภค โซเดียม จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
2.1 ปริมาณโซเดียมที่เหมาะสม
ตามคำแนะนำขององค์กรด้านสุขภาพ ปริมาณโซเดียมที่เหมาะสมสำหรับผู้ใหญ่ไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับเกลือประมาณ 1 ช้อนชาหรือน้ำปลาไม่เกิน 4 ช้อนชา สำหรับเด็ก ปริมาณโซเดียมที่แนะนำไม่ควรเกิน 1,900 มิลลิกรัมต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงคนไทยส่วนใหญ่บริโภคโซเดียมเกินกว่าปริมาณที่แนะนำถึง 2-3 เท่า ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหลายชนิด รวมถึงผลกระทบต่อกระดูก
2.2 ผลกระทบของการบริโภคโซเดียมเกิน
การบริโภคโซเดียมในปริมาณที่มากเกินไปส่งผลเสียต่อสุขภาพหลายประการ
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง:โซเดียมที่มากเกินไปทำให้เลือดข้นและดึงน้ำออกจากเซลล์ ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
- เพิ่มภาระการทำงานของไต: ไตต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไตเรื้อรังและไตวาย
- ส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด: การบริโภคโซเดียมสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
ผลกระทบต่อกระดูก: การบริโภคโซเดียมสูงอาจส่งผลให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมมากขึ้น ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญสำหรับกระดูก เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค กระดูกพรุน
2.3 วิธีการลดปริมาณโซเดียมในอาหาร
การลดปริมาณ โซเดียม ในอาหารสามารถทำได้หลายวิธี:
- เลือกอาหารธรรมชาติ: รับประทานอาหารสดและไม่ผ่านการแปรรูป เพื่อหลีกเลี่ยง โซเดียม ที่เพิ่มเข้าไปในกระบวนการผลิต
- ลดการใช้เครื่องปรุงรส: ลดปริมาณเกลือ น้ำปลา ซอสปรุงรส และผงชูรสในการปรุงอาหาร
- อ่านฉลากโภชนาการ: เลือกผลิตภัณฑ์ที่มี โซเดียม ต่ำ โดยอาหารมื้อหลักไม่ควรมี โซเดียม เกิน 600 มิลลิกรัม และอาหารว่างไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัม
- ปรุงอาหารเอง: การทำอาหารเองที่บ้านช่วยให้ควบคุมปริมาณโซเดียมได้ดีกว่าการซื้ออาหารสำเร็จรูปหรือรับประทานนอกบ้าน
- ใช้สมุนไพรและเครื่องเทศ: เพิ่มรสชาติให้อาหารด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศแทนการใช้เกลือหรือเครื่องปรุงรสที่มี โซเดียม สูง
หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป: ลดการบริโภคอาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง และขนมขบเคี้ยว ซึ่งมักมีโซเดียมสูง
3. สัญญาณเตือนว่าบริโภคโซเดียมมากเกินไป เสี่ยง กระดูกพรุน
การบริโภค โซเดียม ในปริมาณมากเกินไปเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในสังคมที่นิยมบริโภคอาหารแปรรูปและอาหารจานด่วน การรับประทานอาหารที่มี โซเดียม สูงเป็นประจำอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพหลายประการ รวมถึงภาวะ ความดันสูง โรคไต และโรค กระดูก พรุน ดังนั้น การรู้จักสังเกตสัญญาณเตือนของร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคได้ทันท่วงที
3.1 อาการหิวน้ำบ่อย
หนึ่งในสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าคุณอาจกำลังบริโภค โซเดียม มากเกินไปคือ อาการหิวน้ำบ่อย เมื่อร่างกายได้รับ โซเดียม มากเกินไป จะพยายามรักษาสมดุลด้วยการดึงน้ำออกจากเซลล์เพื่อเจือจาง โซเดียม ในเลือด ทำให้รู้สึกกระหายน้ำมากกว่าปกติ นอกจากนี้ การดื่มน้ำมากขึ้นยังเป็นวิธีที่ร่างกายพยายามขับ โซเดียม ส่วนเกินออกทางปัสสาวะ
อาการหิวน้ำบ่อยอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่น ๆ ด้วย เช่น โรคเบาหวาน หรือภาวะขาดน้ำ ดังนั้น หากคุณพบว่าตัวเองมีอาการหิวน้ำบ่อยผิดปกติ โดยเฉพาะหากอาการไม่ดีขึ้นแม้จะดื่มน้ำแล้ว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริง
3.2 อาการมือเท้าบวม
อีกหนึ่งสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าคุณอาจกำลังบริโภค โซเดียม มากเกินไปคือ อาการมือเท้าบวม เมื่อร่างกายได้รับ โซเดียม มากเกินไป จะเกิดการคั่งของน้ำในร่างกาย ทำให้เกิดอาการบวมตามส่วนต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณมือและเท้า
การบวมนี้เกิดจากการที่ร่างกายพยายามรักษาสมดุลของเกลือแร่โดยการดึงน้ำเข้าสู่กระแสเลือดและเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดการคั่งของน้ำในร่างกาย นอกจากมือและเท้าแล้ว อาการบวมอาจเกิดขึ้นที่ใบหน้าหรือส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้เช่นกัน
3.3 อาการปวดหัว
การบริโภค โซเดียม ในปริมาณมากเกินไปอาจนำไปสู่อาการ ปวดหัว ได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีแนวโน้มเป็นโรค ความดันสูง เมื่อร่างกายได้รับ โซเดียม มากเกินไป จะทำให้ร่างกายดึงน้ำเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณเลือดเพิ่มขึ้นและทำให้ ความดัน ในหลอดเลือดสูงขึ้น
ความดัน ที่สูงขึ้นนี้อาจทำให้เกิดอาการ ปวดหัว ได้ โดยเฉพาะบริเวณท้ายทอยหรือขมับ นอกจากนี้ อาการ ปวดหัว ยังอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับ โซเดียม ในร่างกายอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบประสาท
การควบคุมการบริโภค โซเดียม เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสุขภาพ กระดูก การรับประทานอาหารที่สมดุล ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ จะช่วยป้องกันการสูญเสียมวล กระดูก และลดความเสี่ยงต่อโรค กระดูกพรุน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความอื่น ๆ ของเรา
อ่านบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- โรคกระดูกพรุน ภัยเงียบที่มองไม่เห็น โดย Bangkok International Hospital
- 5 กลุ่มอาหารสำคัญช่วยป้องกันกระดูกพรุน และเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง โดย โรงพยาบาลพญาไท
- กระดูกพรุน โรคของกระดูกที่ต้องระวัง โดย Rama Chanel
- โรคกระดูกพรุน ความเสี่ยงเมื่อร่างกายขาดแคลเซียม โดย โรงพยาบาลเพชรเวช
- กระดูกพรุน โรคนี้ที่ไม่ควรมองข้าม โดย โรงพยาบาลพญาไท