7 อาการ เตือนอาจเป็นมะเร็ง
@dr.pongbonetalk 7 สัญญาณเตือน อาจเป็นมะเร็ง!! #หมอกระดูก #หมอ #แพทย์ #หมอโป้ง #คุยเฟื่องเรื่องกระดูก #มะเร็ง #มะเร็งระยะสุดท้าย #มะเร็งตัวร้าย #ผู้ป่วยมะเร็ง #เทรนด์วันนี้ @หมอโป้ง คุยเฟื่องเรื่องกระดูก @หมอโป้ง คุยเฟื่องเรื่องกระดูก @หมอโป้ง คุยเฟื่องเรื่องกระดูก ♬ มีไว้แค่เป็นของเธอเท่านั้น(pause) - Earth Patravee

มะเร็ง เป็น โรคร้าย ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน การรู้จัก อาการ เตือนเบื้องต้นจะช่วยให้เราสามารถตรวจพบและ รักษา ได้ทันท่วงที บทความนี้จะนำเสนอ 7 อาการเตือนที่อาจบ่งบอกถึงมะเร็ง ซึ่งหากพบอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจสอบและรักษาอย่างเหมาะสม

1. อาการ อุจจาระหรือปัสสาวะผิดปกติ

อุจจาระหรือปัสสาวะผิดปกติ อาจเป็น อาการ เตือนของ โรคมะเร็ง โดยเฉพาะ มะเร็งลําไส้ ซึ่งเป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบได้บ่อยในประเทศไทย การสังเกตความผิดปกติของการขับถ่ายจึงเป็นสิ่งสําคัญในการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

การเปลี่ยนแปลงของสีอุจจาระ

สีของ อุจจาระ สามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของระบบทางเดินอาหารได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพบความผิดปกติต่อไปนี้:

  • อุจจาระ สีดําคล้ํา หรือมีสีแดงเข้ม อาจบ่งชี้ถึงการมีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
  • อุจจาระ สีขาวซีดหรือสีเทา อาจเป็นสัญญาณของปัญหาในตับหรือท่อน้ําดี
  • การมีมูกเลือดปนในอุจจาระเป็นอาการที่พบได้ใน มะเร็งลําไส้

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของลักษณะอุจจาระ เช่น การมีลักษณะเป็นเส้นเล็กลง หรือการเปลี่ยนแปลงของความถี่ในการขับถ่าย ก็อาจเป็น มะเร็งลําไส้ อาการ ที่ควรให้ความสนใจ

อาการปวดขณะขับถ่าย

ความเจ็บปวดระหว่างการขับถ่ายอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพหลายอย่าง รวมถึง โรคมะเร็ง โดยเฉพาะ มะเร็งลําไส้ ซึ่งอาจมี มะเร็งลําไส้ อาการ ดังนี้:

  • ปวดท้องเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณท้องน้อย
  • รู้สึกปวดหรือไม่สบายท้องขณะขับถ่าย
  • มีอาการท้องผูกสลับกับท้องเสียอย่างต่อเนื่อง

 

หากมีอาการเหล่านี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม

อาการ ปัสสาวะ-อุจจาระ ผิดปกติ Abnormal Bowel Movements or Urination: Key Signs of Cancer to Watch For

การตรวจสอบมะเร็งลำไส้

การตรวจคัดกรองมะเร็งลําไส้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น วิธีการตรวจที่นิยมใช้มีดังนี้:

  • การตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ (Fecal Occult Blood Test: FOBT)
  • การส่องกล้องตรวจลําไส้ใหญ่ (Colonoscopy)
  • การตรวจเลือดหา CEA (Carcinoembryonic Antigen)

ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลําไส้ หรือมีอายุมากกว่า 50 ปี ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ําเสมอ

2. กลืนลำบากบ่อย

การกลืนลำบากและเจ็บคอบ่อยๆ อาจเป็นสัญญาณเตือนของ โรคมะเร็ง กล่องเสียงหรือมะเร็งในบริเวณลำคอ ซึ่งเป็นอาการที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะหากมีอาการเรื้อรังเป็นเวลานาน

อาการกลืนลำบากและเจ็บคอ

อาการกลืนลำบากและ เจ็บคอ เรื้อรังเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนสำคัญของ มะเร็ง กล่องเสียง ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บหรือแสบคอเวลากลืนอาหาร หรือรู้สึกเหมือนมีก้อนติดอยู่ในลำคอ นอกจากนี้ยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น

  • กลืนติดหรือสำลักบ่อย
  • มีเสมหะปนเลือด
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • เบื่ออาหาร

หากมีอาการเหล่านี้ติดต่อกันนานเกิน 2-3 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว

การมีเสียงแหบเรื้อรัง

เสียงแหบเรื้อรังเป็นอีกหนึ่งอาการสำคัญที่อาจบ่งชี้ถึง โรคมะเร็ง กล่องเสียง โดยเฉพาะหากเป็นมากกว่า 3 สัปดาห์ สาเหตุเกิดจากก้อนมะเร็งที่เกิดขึ้นบริเวณสายเสียงทำให้การสั่นของเส้นเสียงผิดปกติ ส่งผลให้เสียงแหบหรือเปลี่ยนแปลงไปนอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น

  • ไอเรื้อรัง
  • หายใจลำบาก
  • มีก้อนที่คอ
  • ปวดหู

 

หากมีอาการเสียงแหบนานเกิน 2-3 สัปดาห์โดยไม่ทราบสาเหตุ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม

การตรวจสอบมะเร็งกล่องเสียง

เมื่อสงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งกล่องเสียง แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อวินิจฉัยโรค ได้แก่

  • การตรวจร่างกายทั่วไป โดยคลำบริเวณลำคอเพื่อหาก้อนผิดปกติ
  • การส่องกล้องตรวจกล่องเสียง เพื่อดูความผิดปกติภายในกล่องเสียง
  • การตัดชิ้นเนื้อ เพื่อนำไปตรวจทางพยาธิวิทยา
  • การตรวจด้วยภาพถ่ายรังสี เช่น CT scan หรือ MRI
  • การตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของร่างกายโดยรวม

การวินิจฉัยที่รวดเร็วและถูกต้องจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรคและตำแหน่งของก้อนมะเร็ง ซึ่งอาจรวมถึงการผ่าตัด การฉายรังสี และเคมีบำบัด

Frequent Difficulty Swallowing: One of the Lesser-Known Signs of Cancer​

3. ไอเรื้อรังมากกว่า 2 เดือน

อาการ ไอ เรื้อรังที่เป็นต่อเนื่องนานกว่า 2 เดือนเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนที่อาจบ่งชี้ถึงโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งปอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การสูบบุหรี่ หรือการได้รับมลพิษทางอากาศเป็นเวลานาน อาการ ไอเรื้อรัง มักเกิดจากการระคายเคืองของเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในปอด

ลักษณะของเสมหะที่มีเลือดปน

การสังเกตลักษณะของเสมหะเป็นสิ่งสำคัญ หากพบว่ามีเลือดปนออกมาด้วย ยิ่งเป็นสัญญาณที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ การ ไอ ที่มีเสมหะปนเลือดพบได้ในผู้ป่วยมะเร็งปอดประมาณ 25-50% ของกรณีทั้งหมด อย่างไรก็ตาม อาการไอเป็นเลือดอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้เช่นกัน เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ หรือโรคปอดอื่น ๆ ดังนั้นการพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งจำเป็น

การตรวจสอบมะเร็งปอด

เมื่อมีอาการ ไอเรื้อรัง หรือสงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งปอด แพทย์จะทำการตรวจคัดกรองด้วยวิธีต่างๆ โดยวิธีที่นิยมใช้คือการเอกซเรย์ทรวงอกและการตรวจด้วยเครื่อง CT scan แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ (Low-dose CT scan) ซึ่งให้ภาพที่ละเอียดกว่าการเอกซเรย์ธรรมดา สามารถตรวจพบก้อนเนื้อขนาดเล็กได้แม่นยำกว่า นอกจากนี้ อาจมีการตรวจเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น การส่องกล้องหลอดลม หรือการตัดชิ้นเนื้อเพื่อยืนยันการวินิจฉัย

การรักษาอาการไอเรื้อรัง

การรักษาอาการ ไอเรื้อรัง ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แท้จริง หากเป็นมะเร็งปอด การรักษาจะขึ้นอยู่กับระยะของโรคและชนิดของมะเร็ง อาจรวมถึงการผ่าตัด เคมีบำบัด รังสีรักษา หรือการรักษาแบบมุ่งเป้า สำหรับอาการ ไอ ที่ไม่ได้เกิดจากมะเร็ง การรักษาอาจทำได้โดยการใช้ยาแก้ไอ การดื่มน้ำอุ่น และการพักผ่อนให้เพียงพอ

 

อย่างไรก็ตาม การป้องกันยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด การหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปอดได้

Chronic Cough

4. ตกขาวมากผิดปกติ

ตกขาวมากผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบบ่อยในผู้หญิงไทย การสังเกตอาการผิดปกติของ ตกขาว และการตรวจคัดกรองอย่างสม่ําเสมอเป็นสิ่งสําคัญในการป้องกันและรักษา มะเร็งปากมดลูก ได้ทันท่วงที

ลักษณะของตกขาวที่ผิดปกติ

ตกขาว ปกติมักมีลักษณะใสหรือขาวขุ่นเล็กน้อย ไม่มีกลิ่น และไม่คัน อย่างไรก็ตาม หากพบลักษณะต่อไปนี้ อาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติ

  • ตกขาวเปลี่ยนสี เช่น สีเขียว สีเหลือง สีเทา หรือสีแดง
  • มีกลิ่นเหม็นคล้ายกุ้งเน่าหรือกลิ่นคาว
  • มีลักษณะเป็นฟอง
  • มีอาการคันหรือแสบบริเวณช่องคลอดหรืออวัยวะเพศ

 

สีของ ตกขาว สามารถบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพได้ เช่น

  • สีเขียวอ่อนหรือเหลืองปนเขียว อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
  • สีเทา อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรียหรือการอักเสบที่ช่องคลอดและปากมดลูก
  • สีน้ำตาลหรือมีเลือดปน อาจเกิดจากประจําเดือนตกค้างหรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ

การมีเลือดปนในตกขาว

การมีเลือดปนในตกขาวเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ควรให้ความสนใจ โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นนอกช่วงมีประจําเดือน สาเหตุอาจเกิดจาก

  • การติดเชื้อที่บริเวณปากมดลูก
  • เลือดออกจากการตกไข่
  • การฝังตัวของตัวอ่อน (เรียกว่า “เลือดล้างหน้า”)
  • การตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • ในบางกรณี อาจเป็นสัญญาณของ มะเร็งปากมดลูก

หากพบว่ามีเลือดปนในตกขาวร่วมกับ อาการ ปวดท้องน้อย ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด

การตรวจสอบมะเร็งปากมดลูก

การตรวจคัดกรอง มะเร็งปากมดลูก เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้น วิธีการตรวจคัดกรองที่นิยมใช้ ได้แก่

  1. การตรวจแปปสเมียร์ (Pap smear): เป็นการเก็บเซลล์จากปากมดลูกเพื่อตรวจหาความผิดปกติ
  2. การตรวจตินแพร็พ แป๊บ เทสต์ (ThinPrep Pap Test): พัฒนามาจากการตรวจแปปสเมียร์ ให้ผลละเอียดและแม่นยํามากขึ้น
  3. การตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ด้วยวิธีการตรวจ DNA: เป็นการตรวจหาเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปากมดลูก

ผู้หญิงควรเริ่มตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเมื่ออายุ 30 ปี หรืออาจเริ่มตั้งแต่อายุ 25 ปีตามความเหมาะสม และควรตรวจทุก 2-3 ปี หากผลตรวจปกติติดต่อกัน 3 ครั้ง อาจเว้นระยะการตรวจเป็น 3-5 ปีได้ สําหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรตรวจบ่อยกว่านี้ตามคําแนะนําของแพทย์

Abnormal Vaginal Discharge: Recognizing Gynecological Signs of Cancer​ อาการ มะเร็งปากมดลูก

5. อาการ ผิวหนังมีแผลเรื้อรังหายช้า

แผลเรื้อรังที่หายช้าอาจเป็นสัญญาณเตือนของ มะเร็งผิวหนัง ที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะหากแผลนั้นไม่หายภายใน 3 เดือน การสังเกตการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการตรวจพบมะเร็งผิวหนังตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้

ลักษณะของแผลเรื้อรัง

แผลเรื้อรังที่อาจบ่งชี้ถึง มะเร็งผิวหนัง มีลักษณะดังนี้:

  1. เป็นตุ่มหรือก้อนนูนที่ผิวหนัง
  2. มีสะเก็ดแผลและมีเลือดออกบ่อยครั้ง
  3. เป็นแผลที่ไม่หายภายในระยะเวลา 3 เดือน
  4. มี อาการ เจ็บร่วมด้วยในบางกรณี

มะเร็งผิวหนังชนิด Squamous Cell Carcinoma (SCC) มักแสดงอาการเป็นตุ่มนูนที่มีฐานแข็ง ด้านบนมีขุยหรือสะเก็ด และอาจแตกเป็นแผลที่มีเลือดออกได้

การขยายขนาดของไฝหรือก้อน

การเปลี่ยนแปลงของไฝหรือก้อนบนผิวหนังเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนของ มะเร็งผิวหนัง โดยควรสังเกตลักษณะต่อไปนี้

  • ไฝมีขนาดโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • มีสีที่หลากหลายหรือไม่สม่ำเสมอ
  • รูปร่างไม่สมมาตรหรือขอบไม่ชัดเจน
  • ขนาดใหญ่กว่า 6 มิลลิเมตร
  • มีการเปลี่ยนแปลงของสี รูปร่าง หรือขนาดอย่างรวดเร็ว

 

มะเร็งผิวหนังชนิด Malignant Melanoma (MM) มักมีลักษณะคล้ายไฝหรือขี้แมลงวันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจมีเลือดออกและมีขนาดใหญ่กว่า 6 มิลลิเมตร

Chronic Non-Healing Wounds: Subtle Signs of Cancer Often Overlooked​ ผิวหนังมีแผลเรื้อรังหายช้า

การตรวจสอบมะเร็งผิวหนัง

การตรวจสอบ มะเร็งผิวหนัง ด้วยตนเองเป็นสิ่งสำคัญ ควรทำอย่างสม่ำเสมอโดยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง ไฝ หรือตุ่มต่าง ๆ บนร่างกาย หากพบความผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังโดยเร็วการตรวจวินิจฉัยมะเร็งผิวหนังโดยแพทย์อาจทำได้หลายวิธี เช่น

  1. การตรวจด้วยตาเปล่าและเครื่องมือพิเศษ
  2. การตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
  3. การใช้เทคโนโลยีการถ่ายภาพพิเศษเพื่อประเมินรอยโรค

การตรวจพบมะเร็งผิวหนังตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้ถึง 90-99% ดังนั้น การสังเกต อาการ ผิดปกติของผิวหนังและการตรวจสุขภาพผิวหนังเป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและรักษามะเร็งผิวหนังอย่างมีประสิทธิภาพ

6. พบก้อนในร่างกาย

พบก้อนในร่างกาย อาจเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเนื้อเยื่ออ่อนและ มะเร็งกระดูก ซึ่งแม้จะพบได้ไม่บ่อย แต่ก็ส่งผลกระทบรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้

ลักษณะของก้อนที่ผิดปกติ

ก้อนที่อาจบ่งชี้ถึงมะเร็งมักมีลักษณะดังนี้

  • โตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะถ้ามีขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร
  • ไม่เจ็บปวดเมื่อสัมผัส
  • มีตําแหน่งที่ผิดปกติ เช่น บริเวณแขนขา ลําตัว หรือศีรษะและลําคอ

อาจทําให้เกิด อาการ อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น อ่อนเพลีย น้ําหนักลด เบื่ออาหาร

การตรวจสอบมะเร็งเนื้อเยื่อ

หากสงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งเนื้อเยื่ออ่อน แพทย์จะทําการตรวจวินิจฉัยดังนี้:

  • ตรวจร่างกายและซักประวัติอย่างละเอียด
  • ส่งตรวจภาพถ่ายทางรังสี เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
  • เจาะชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา
  • อาจส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น PET scan เพื่อดูการแพร่กระจายของโรค

 

การรักษามะเร็งเนื้อเยื่ออ่อนขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค โดยทั่วไปประกอบด้วยการผ่าตัด ร่วมกับการฉายรังสีและ/หรือเคมีบําบัด

Chronic Non-Healing Wounds: Subtle Signs of Cancer Often Overlooked​ ก้อน ในร่างกาย

การตรวจสอบมะเร็งกระดูก

สําหรับ มะเร็งกระดูก นอกจากการพบก้อนแล้ว อาจมี อาการ อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น:

  • ปวดกระดูก โดยเฉพาะในเวลากลางคืนหรือขณะพัก
  • กระดูกหักหรือร้าวง่ายผิดปกติ
  • กระดูกผิดรูปร่าง

การวินิจฉัย มะเร็งกระดูก ทําได้โดย:

  • ตรวจร่างกายและซักประวัติ
  • ส่งตรวจภาพถ่ายทางรังสี เช่น เอกซเรย์ธรรมดา CT scan หรือ MRI
  • เจาะชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา
  • อาจส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น bone scan เพื่อดูการแพร่กระจายของโรค

การรักษา มะเร็งกระดูก ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค อาจประกอบด้วยการผ่าตัด เคมีบําบัด และ/หรือการฉายรังสี

7. อาการ หูอื้อได้ยินผิดปกติ

อาการ หูอื้อและการได้ยินผิดปกติอาจเป็นสัญญาณเตือนของ มะเร็ง บางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งหลังโพรงจมูก ซึ่งเป็น โรคมะเร็ง ที่พบได้บ่อยในคนเอเชีย

อาการที่ควรสังเกต

  • หูอื้อข้างเดียวหรือสองข้าง
  • ได้ยินเสียงดังในหู (เสียงหึ่ง)
  • การได้ยินแย่ลงอย่างช้าๆ
  • รู้สึกว่ามีน้ำอยู่ในหู

 

หากมีอาการเหล่านี้ติดต่อกันนานกว่า 2-3 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง

signs of cancer: Tinnitus and Hearing-Related Symptoms อาการ หูอื้อ

การมีเลือดกำเดาออกบ่อย

การมีเลือดกำเดาออกบ่อย ๆ โดยเฉพาะเลือดออกเพียงข้างเดียว อาจเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งหลังโพรงจมูกได้เช่นกัน อาการที่ควรระวังมีดังนี้

  • เลือดกำเดาออกบ่อย ๆ โดยเฉพาะข้างเดียว
  • มีเลือดปนออกมากับน้ำมูก
  • รู้สึกคัดจมูกข้างเดียวเป็นเวลานาน
  • หายใจลำบากทางจมูก

การมี อาการ เหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นโรคมะเร็งเสมอไป แต่ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง

การตรวจสอบมะเร็งหลังโพรงจมูก

การตรวจวินิจฉัยมะเร็งหลังโพรงจมูกสามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่:

  • การตรวจร่างกายทั่วไปและซักประวัติอาการ
  • การส่องกล้องตรวจโพรงจมูกและลำคอ
  • การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
  • การตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา

หากตรวจพบโรคมะเร็งในระยะเริ่มต้น โอกาสในการรักษาให้หายขาดจะมีสูงมาก การรักษามักใช้วิธีผสมผสานระหว่างการฉายรังสีและเคมีบำบัด ขึ้นอยู่กับระยะของโรคและสภาพร่างกายของผู้ป่วย

สรุปได้ว่า การสังเกต อาการ ผิดปกติของร่างกายเป็นสิ่งสำคัญในการตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้น อาการที่ควรระวัง ได้แก่ การขับถ่ายผิดปกติ กลืนลำบาก ไอเรื้อรัง ตกขาวผิดปกติ แผลหายช้า ก้อนผิดปกติในร่างกาย และหูอื้อ หากพบอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว การตรวจคัดกรองสม่ำเสมอช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด

อ่านบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

บทความอื่น ๆ ของเรา

Share :

บทความที่เกี่ยวข้อง

Facebook

Facebook group

พูดคุยปรึกษามะเร็งฟรี

Feel Something Wrong With Your Bones?

คุณเป็นอะไร? ปรึกษา ฟรี!!!

กรอกชื่อ/อีเมลเพื่อลองปรึกษา

ช่องทางติดตาม เพิ่มเติม

Free consultation